หงายเงิบ!! เห็น “ป้ารปภ.” อ่านหนังสือสอบเลยกะเข้าไปช่วย พอเห็นวิชาแก มึน 80 ตลบ!!

หงายเงิบ!! เห็น “ป้ารปภ.” อ่านหนังสือสอบกะเข้าไปช่วย พอเห็นวิชาแก มึน 80 ตลบ!!


โลกโซเชี่ยล มีการแชร์ภาพและข้อความจากสมาชิกเฟซบุ๊ก Adthaphon Hor ซึ่งเป็นเรื่องราวของ รปภ.หญิงท่านหนึ่ง โดยผู้โพสต์ระบุ ว่า ” กลับมาที่ตึกทำงาน เกือบๆเที่ยงคืน เจอคุณป้ารักษาความปลอดภัย นั่งเขียนหนังสือ เราก็ทักตามปกติ  ผม : อ่านหนังสือสอบอยู่เหรอครับป้า? (แกเคยเล่าให้ฟังว่าแกเรียนอยู่ จริงๆก็ชื่นชมแกตั้งแต่แรกๆละ) ป้า รปภ : จร้า  ผม : สอบวิชาอะไรเหรอ? ป้า รปภ : สอบวิชาเลขจร้า(เรานึกว่าแกเรียน กศน อยู่)  ผม : ไหนๆ เค้าสอบอะไรบ้าง ผมก็เดินไปหาป้าแก เห็นแกนั่งเกาหัวนิดหน่อย กะว่าเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง พอผมเห็นสิ่งที่ป้าแกอ่านสอบเท่านั้นแหละ!!!!

ผม : ป้า! นี่ มันวิชาเลขเหรอ!!!!! ป้าเรียนชั้นไหนละเนี่ย?  ป้า : ชั้น 3 จ่ะ ผม : ชั้น ม.3 เหรอ ดูแล้วไม่ใช่นะเนี่ย?  ป้า : ชั้นปีที่ 3 จร้า ป้าอยู่มหาลัยแล้ว ถ้าปีหน้าโชคดีป้าก็คงจบละหล่ะ  ผม : ป้า! ตอนแรกที่ผมเดินมาเนี่ย นึกว่าเผื่อจะช่วยป้าทำการบ้าน ผมคิดใหม่ละ ป้าเรียนจบแล้วช่วยมาสอนผมด้วยนะ 5555 (แกกำลังจะสอบปลายภาควิชา Finance ) โลกนี้มันก็มีสีสันนะ แล้วก็มีอะไรให้เราได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์ ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ มีทัศนคติใหม่ๆ อย่างคืนนี้กับคุณป้ารักษาความปลอดภัย ผู้อ่านหนังสือวิชา Finance เพื่อสอบจบปี 3 ในรั้วมหาวิทยาลัย”



แหม๋…สมัยนี้ความรู้การศึกษาไม่จำกัด เพศ วัยเลยจริงๆครับ ก็ขอเอาใจช่วยคุณป้าให้เรียนจบในปีที่กำหนดด้วยนะครับ
ที่มา : http://www.thaijam.com/19480

ซึ้งมาก


การเดินทางครั้งสุดท้ายของหญิงชรา ซึ่งเป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้าย และ แท็กซี่ซึ่งมีน้ำใจอดทนรอคอย
มันเป็นเวลาเกือบจะหมดกะรถแท็กซี่ของผมแล้ว แต่ผมก็รับคำสั่งที่ให้ไปรับผู้โดยสารรายหนึ่ง ทั้งๆ ที่ผมก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันและใจก็คิดอยากกลับบ้านไปพักผ่อนเหลือเกิน
ผมขับแท็กซี่คู่ใจไปถึงที่อยู่ของผู้โดยสาร ที่โทรเรียกบริการ และบีบแตรรถส่งสัญญาณให้ผู้โดยสารทราบว่าผมมาถึงแล้ว สองสามนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมา ผมไม่รอช้ารีบบีบแตรซ้ำเพื่อเร่งผู้โดยสาร
ผมเกือบจะขับรถหนีไปโดยไม่รับผู้โดยสารที่ชักช้าคนนี้ เพราะไหนๆ นี่ก็เป็นเที่ยวโดยสารสุดท้ายก่อนหมดกะของผม แต่ผมกลับจอดรถ เดินลงไปที่ประตูบ้านและเคาะประตูเรียก “รอสักครู่นะคะ” มันเป็นเสียงสั่นเครือ ของหญิงชราในวัยที่เปราะบาง ผมแอบได้ยินเสียงอะไรบางอย่างถูกลากมากับพื้น
เสียงเงียบไปพักใหญ่ ประตูบานนั้นก็เปิดออก หญิงร่างเล็กวัยกว่า 90 ปียืนอยู่ตรงหน้าผม เธอสวมเสื้อลายพิมพ์สีสดและหมวกทรงกลมเล็กๆ มีผ้าลูกไม้บางๆ กลัดไว้ มองแล้วเหมือนใครสักคนที่เพิ่งหลุดออกมาจากภาพยนตร์ย้อนยุคเมื่อ 5 หรือ 60 ปีก่อน
ข้างตัวเธอมีกระเป๋าเดินทางที่กรุด้วยผ้าไนล่อนใบหนึ่ง อพาร์ตเม้นท์ของเธอดูราวกับไม่มีใครอาศัยอยู่มาเป็นแรมปี เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกคลุมไว้ด้วยผ้าใบ บนฝาผนังบ้านไม่มีนาฬิกาสักเรือน ไม่มีข้าวของหรือเครื่องครัวบนเค้าท์เตอร์ แต่ที่มุมห้องกลับมีกล่องกระดาษหลายใบที่มีภาพถ่ายเก่าและเครื่องแก้วบรรจุอยู่เต็ม
“พ่อหนุ่ม เธอจะช่วยยกกระเป๋าของฉันไปที่รถหน่อยได้ไหม?” หญิงชราถาม ผมยกกระเป๋าของเธอไปแล้วเดินกลับมาช่วยประคองเธอเดินไปขึ้นรถ หญิงชราจับมือของผมและเราทั้งสองก็เดินช้าๆ ไปที่ทางเท้า
เธอเฝ้าแต่กล่าวคำขอบคุณในความกรุณาของผม “มันไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตเลยครับ”
ผมบอกเธอ... “ผมก็แค่ปฏิบัติกับผู้โดยสารของผมเหมือนกับที่ผมอยากจะให้ผู้คนปฏิบัติกับแม่ผมเท่านั้นเองครับ”
“โอ้ เธอช่างเป็นเด็กที่ดีจริงๆ” หญิงชราตอบ พอเราไปถึงที่รถแท็กซี่ เธอก็เอาที่อยู่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่เธอต้องการไปมาให้ผมและถามผมว่า “เธอจะช่วยขับรถผ่านเข้าไปกลางเมืองสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พ่อหนุ่ม”
“แต่นั่นไม่ใช่ทางที่สั้นที่สุดนะครับ” ผมรีบตอบ
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอตอบ “ฉันไม่ได้รีบร้อนอะไร ฉันกำลังจะไปที่ hospice (สถานที่สำหรับดูแลคนคนป่วยซึ่งไม่สามารถรักษาได้แล้ว ในระยะสุดท้ายของชีวิต)
ผมแอบมองหน้าเธอทางกระจกมองหลัง ดวงตาหญิงชราเป็นประกาย “ฉันไม่มีญาติพี่น้องหรือครอบครัวเหลืออยู่แล้ว” เธอพูดต่อด้วยเสียงเบาบาง “หมอบอกว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก”
ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดมิเตอร์ค่าแท็กซี่ทิ้ง
“คุณอยากให้ผมขับพาคุณไปตามถนนสายไหนหรือครับ” ผมถาม
ระยะเวลาสองชั่วโมงจากนั้น เรานั่งรถผ่านกลางเมือง เธอชี้ให้ผมดูอาคารที่ครั้งหนึ่งเธอเคยทำงานเป็นคนคุมลิฟต์ เราขับผ่านละแวกบ้านที่เธอและสามีเคยอยู่อาศัยเมื่อทั้งคู่พบรักและแต่งงานกันใหม่ๆ และเธอก็ขอให้ผมจอดรถสักครู่ ที่หน้าโกดังโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานลีลาศที่เธอเคยมาเต้นรำเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กสาว
บางครั้งเธอก็ขอให้ผมขับชลอรถลงช้าๆ เมื่อผ่านหน้าอาคารหรือมุมถนน และเธอจะนั่งนิ่งๆ มองผ่านหน้าต่างรถออกไปยังความมืดอันว่างเปล่า โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
เมื่อแสงตะวันอ่อนแรงลงที่ตรงปลายฟ้า เธอก็พูดขึ้นทันทีว่า “ฉันเหนื่อยแล้วหล่ะ เราไปกันเถอะ”
เราขับรถเงียบๆ ไปยังจุดหมายปลายทางที่เธอให้ไว้กับผม มันเป็นอาคารเตี้ยๆ เหมือนศูนย์พักฟื้นทั่วๆ ไป มีช่องทางให้รถผ่านเข้าไปใต้หลังคาอาคารเพื่อส่งผู้โดยสาร
พนักงานบ้านพักคนชราสองคนออกมาต้อนรับเรา พวกเขาดูใส่ใจกับเธอมาก เฝ้าดูหญิงชราในทุกอริยบทอย่างไม่ละสายตา พวกเขาคงรอการมาถึงของเธออยู่ก่อนแล้ว
ผมเปิดท้ายรถและเอากระเป๋าเดินทางของเธอไปที่ประตู หญิงชราได้นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแล้ว “ฉันค้างจ่ายค่ารถเธอเท่าไร” หญิงชราถามพร้อมๆ กับเอื้อมมือเปิดกระเป๋าสตางค์ของเธอ
“ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยครับ” ผมตอบ
“แต่เธอก็ต้องอยู่ต้องกินนะ” หญิงชรากล่าว
“ผมยังมีผู้โดยสารรายอื่นๆ อีกครับ” ผมตอบ
โดยแทบไม่ได้คิดอะไรเลย ผมก้มตัวลงและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน หญิงชรากอดผมไว้แน่น “เธอได้มอบเวลาแห่งความสุขเล็กๆ ให้กับคนแก่คนหนึ่ง”
เธอพูด “ขอบใจมากนะ”
ผมบีบมือเธอแน่นเป็นการร่ำลาและเดินกลับออกไป เสียงประตูถูกปิดลง มันเป็นเสียงปิดลงของชีวิตชีวิตหนึ่ง
ผมไม่ได้รับผู้โดยสารอื่นอีกเลยในกะนั้น ผมขับแท็กซี่ของผมไปอย่างไร้เป้าหมาย หลงล่องลอยอยู่ในความคิดของตัวเอง วันนั้นทั้งวันผมแทบพูดอะไรไม่ถูก
มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหญิงชราคนนั้นต้องพบกับคนขับรถแท็กซี่ขี้โมโห หรือคนขับที่คิดแต่จะส่งรถให้ทันกะ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมปฏิเสธที่จะรับงานนั้น เพราะมันเกือบจะหมดกะของผมเหมือนกัน หรือถ้าผมแค่กดแตรเรียกเพียงครั้งเดียว พอไม่มีใครขานตอบผมก็ขับหนีออกไปทันที
ผมทบทวนเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผมคิดไม่ออกว่าผมเคยได้ทำอะไรที่สำคัญกว่านี้มาบ้างหรือเปล่าในชีวิต
เราถูกทำให้เชื่อว่าชีวิตของเราได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์สำคัญที่ยิ่งใหญ่
แต่บ่อยครั้งเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ว่านั้น มันกลับมาปรากฏต่อหน้าเราอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว
และมาปรากฎตัวในรูปที่ถูกห่อไว้อย่างหมดจดงดงามโดยที่คนอื่นๆ อาจไม่คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย
แปลโดย:โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
(แก้ไขนิดหนึ่งตรงคำว่า Hospice ให้ตรงความหมายจริง)
อย่างไรก็ตามถ้าอ่านต้นฉบับได้ก็จะตรงและซึ้งกว่าครับ
A sweet lesson on patience.
A NYC Taxi driver wrote:
I arrived at the address and honked the horn. After waiting a few minutes I honked again. Since this was going to be my last ride of my shift I thought about just driving away, but instead I put the car in park and walked up to the door and knocked.. 'Just a minute', answered a frail, elderly voice. I could hear something being dragged across the floor.
After a long pause, the door opened. A small woman in her 90's stood before me. She was wearing a print dress and a pillbox hat with a veil pinned on it, like somebody out of a 1940's movie.
By her side was a small nylon suitcase. The apartment looked as if no one had lived in it for years. All the furniture was covered with sheets.
There were no clocks on the walls, no knickknacks or utensils on the counters. In the corner was a cardboard
box filled with photos and glassware.
'Would you carry my bag out to the car?' she said. I took the suitcase to the cab, then returned to assist the woman.
She took my arm and we walked slowly toward the curb.
She kept thanking me for my kindness. 'It's nothing', I told her.. 'I just try to treat my passengers the way I would want my mother to be treated.'
'Oh, you're such a good boy, she said. When we got in the cab, she gave me an address and then asked, 'Could you drive
through downtown?'
'It's not the shortest way,' I answered quickly..
'Oh, I don't mind,' she said. 'I'm in no hurry. I'm on my way to a hospice.
I looked in the rear-view mirror. Her eyes were glistening. 'I don't have any family left,' she continued in a soft voice..'The doctor says I don't have very long.' I quietly reached over and shut off the meter.
'What route would you like me to take?' I asked.
For the next two hours, we drove through the city. She showed me the building where she had once worked as an elevator operator.
We drove through the neighborhood where she and her husband had lived when they were newlyweds She had me pull up in front of a furniture warehouse that had once been a ballroom where she had gone dancing as a girl.
Sometimes she'd ask me to slow in front of a particular building or corner and would sit staring into the darkness, saying nothing.
As the first hint of sun was creasing the horizon, she suddenly said, 'I'm tired.Let's go now'.
We drove in silence to the address she had given me. It was a low building, like a small convalescent home, with a driveway that passed under a portico.
Two orderlies came out to the cab as soon as we pulled up. They were solicitous and intent, watching her every move.
They must have been expecting her.
I opened the trunk and took the small suitcase to the door. The woman was already seated in a wheelchair.
'How much do I owe you?' She asked, reaching into her purse.
'Nothing,' I said
'You have to make a living,' she answered.
'There are other passengers,' I responded.
Almost without thinking, I bent and gave her a hug.She held onto me tightly.
'You gave an old woman a little moment of joy,' she said. 'Thank you.'
I squeezed her hand, and then walked into the dim morning light.. Behind me, a door shut.It was the sound of the closing of a life..
I didn't pick up any more passengers that shift. I drove aimlessly lost in thought. For the rest of that day,I could hardly talk.What if that woman had gotten an angry driver,or one who was impatient to end his shift? What if I had refused to take the run, or had honked once, then driven away?
On a quick review, I don't think that I have done anything more important in my life.
We're conditioned to think that our lives revolve around great moments.
But great moments often catch us unaware-beautifully wrapped in what others may consider a small one.

เมื่อเขาคนนี้ตอบคำถามชิงรางวัล1ล้านดอลล่าร์ เขาใช้สิทธิ์โทรขอความช่วยเหลือ คิดไม่ถึงว่าเมื่อต่อสายแล้ว กลับกลายเป็นอย่างนี้

เป็นที่ทราบกันว่าเกมโชว์ตอบคำถามนั้นจะตั้งมูลค่าเงินรางวัลไว้สูงล่อใจ ทำให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันอยากเข้ามาทดสอบชิงเงินรางวัล แต่คำถามก็ยากไม่ใช่เล่น เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1999 John Carpenter เข้าร่วมเล่นเกมในรายการทีวีโชว์ Who Wants to Be a Millionaire? เขาตอบคำถามถูกทั้งหมด14ข้อ จนมาถึงข้อสุดท้าย เขาตัดสินใจใช้ตัวช่วย คือโทรศัพท์หาใครก็ได้ แล้วเขาก็เลือกที่จะโทรหาคุณพ่อของเขา
John Carpenter ขณะตอบคำถามข้อสุดท้าย หลังจากพิชิตเงินรางวัลไปแล้วถึง 5แสนดอลล่าร์สหรัฐ
กฎกติกาของรายการ Who Wants to Be a Millionaire? คือเมื่อผู้เข้าแข่งขันตอบคำถามถูกต้อง สามารถที่จะเลือกเล่นต่อหรือหยุดแล้วรับเงินรางวัลไปเลย แต่ถ้าเลือกเล่นต่อแล้วตอบคำถามในข้อถัดไปไม่ถูกต้อง เงินรางวัลเดิมที่ตอบถูกก็จะโดนหักลดไป กรณี John Carpenter เขาตอบคำถามถูกต้องทั้งหมด14ข้อ ซึ่งถ้าเขาเลือกที่จะหยุดเล่นเขาจะได้รับเงินจำนวน5แสนดอลล่าร์ แต่ถ้าเลือกเล่นต่อแล้วตอบผิดในคำถามข้อถัดไป เงินรางวัลก็จะลดลงไปกว่า460,000ดอลล่าร์เลย
คำถามข้อที่15 ถามว่า “ประธานาธิบดีคนไหนต่อไปนี้ที่ปรากฎตัวในรายการทีวีLaugh-In”
A:Lyndon Johnson
B:Richard Nixon
C:Jimmy Carter
D:Gerald Ford

หลังจากที่ John Carpenter ฟังคำถามแล้ว เขาตัดสินใจใช้สิทธิ์โทรขอความช่วยเหลือไปยังคุณพ่อของเขา
พิธีกร:John คุณมีเวลา 30 วินาที เริ่มได้
John:สวัสดีครับพ่อ
พ่อ:สวัสดี
John:…จริงๆแล้วผมไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือหรอก ผมแค่อยากจะบอกให้พ่อรู้ว่าผมกำลังจะได้เงินรางวัล1ล้านดอลล่าร์…
(ผู้ชมในห้องส่งต่างก็หัวเราะ และส่งเสียงเชียร์)
John:(เวลาเหลือ8วินาที) ประธานาธิบดีที่ปรากฎตัวในรายการทีวีLaugh-InคือRichard Nixon เป็นคำตอบสุดท้าย
หลังจากที่พ่อของเขารับโทรศัพท์ก็ตื่นเต้นมาก เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถช่วยลูกตอบคำถามได้ แต่นึกไม่ถึงว่าที่แท้ John ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาเลย เขารู้คำตอบแต่แรกแล้ว เพียงแต่อยากให้พ่อได้รู้และดีใจไปกับเขาเท่านั้นเอง และคำตอบสุดท้ายของเขาก็เป็นคำตอบที่ถูกต้อง พิชิตเงินรางวัล1ล้านดอลล่าร์ไปได้

ตะลึง!!! ผีเข้ากลางรายการ



ผีเข้ากลางรายการ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล


เผยเทคนิค...รวย....


สยอง!! หนุ่มใหญ่ถึงคราวเคราะห์นั่งส้วมดีดีมีงูเหลือมยักษ์พุ่งขึ้นจากคอห่านกัดอวัยวะเพศเจ้าของบ้านบาดเจ็บสาหัส


เข้าส้วมต้องระวัง เรื่องจริงจากบางปะกง เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาที่บางปะกง ขอสงวนรายละเอียดผู้เสียหายและบ้าน ชายหนุ่มเข้าของน้ำนั่งยองๆคอห่านตามปกติต้องตกใจและเจ็บปวดสุดขีดเพราะมีงูเหลือมยักษ์ขนาด 3 เมตรกว่า พุ่งขึ้นมาจากคอห่านและตรงเข้ามากัดโดยตรงที่ “อวัยวะเพศชาย” ทำให้โดนเส้นเลือดใหญ่ และเจ้าตัวบาดเจ็บสาหัสจนต้องหามส่ง ร.พ. ทางด้านกู้ภัยมาถึงที่เกิดเหตุได้จับเข้างูไว้ได้ทันควันแต่ไม่ยอมออกมาจากคอห่านจนต้องทุบคอห่านเพื่อนำตัวงูออกมาแต่แล้วกู้ภัยต้องปะหลาดใจเมื่อพบว่าเป็นงูเหลือมขนาด3เมตรกว่า นอนขดอยู่ในโถส้วม
ทั้งนี้ทางเพจมิได้มีเจตนาทำให้ผู้บาดเจ็บอับอายแต่อย่างใดจึงขอสงวนลายละเอียดไว้ แต่อยากนำเรื่องราวมาเล่าว่า นี่คือเรื่องจริงที่ทุกบ้านต้องระวังให้มากๆ เวลาเราส้วมอาจจะต้องตักราดไปก่อนให้งูตื่น
ขอบคุณภาพจาก คนข่าวบางปะกง
เรารักแปดริ้ว





10 โรงเรียนที่ผีดุที่สุดในประเทศไทย




สุดยอด!!! ในโลกมีแบบนี้ด้วยหรอ!

คนที่ทำหน้าที่แทนนาฬิกาปลุก



ในช่วงปี 1870 – 1945 ก่อนที่โลกจะรู้จักกับ ‘นาฬิกาปลุก’ คนจำนวนมากอย่างเช่น Mary Smith แห่งถนน Brenton ถูกจ้างให้เป็น “knocker-uppers” โดยพวกเขาจะได้รับค่าจ้าง 6 เพนนีต่อสัปดาห์ในการเป่าเมล็ดถั่วแห้งๆ ไปกระทบกับหน้าต่างของชาว Limehouse Fields ในลอนดอนเพื่อปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นไปทำงาน

หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายที่สุด



Anna Mae Dickinson มีอายุได้เพียง 8 ขวบในตอนที่พ่อของเธอเสียชีวิตในเหตุการณ์โศกนาฏกรรม ‘ไททานิค’ และเมื่ออายุได้ 11 ปี เธอก็ต้องสูญเสียป้าโอลิเวียที่อยู่ในเรือ ‘ลูซิเทเนีย’ ซึ่งถูกยิงด้วยตอร์ปีโดของเรือดำนำเยอรมัน จากนั้นเมื่ออายุ 31 ปี อัลเฟรด ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ ‘เรือเหาะฮินเดนเบิร์ก’ ที่ระเบิดบนน่านฟ้าสหรัฐ และเมื่ออายุ 37 เธอก็ต้องเสียหลานชายอีกคน โทมัส ให้กับการถล่ม ‘เพิร์ล ฮาร์เบอร์’ และแอนนามีอายุถึง 97 ปี เมื่ออพาร์ทเม้นท์ของเธอถูกทำลายจากการโจมตี ‘เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์’ ในเหตุการณ์ 9/11 เรียกได้ว่าเธอคนนี้ไม่เคยพลาดเคราะห์ร้ายในทุกๆ โศกนาฏกรรมระดับโลกเลยทีเดียว

อ่านต่อกดเลย........

โครงกระดูกแปลกค้นพบในห้องใต้ดินของบ้านเก่าในลอนดอน



ในปี 2006 ณ ห้องใต้ดินที่ถูกปิดผนึกใต้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในกรุงลอนดอน ภายในพบลังขนาดใหญ่หลายร้อยลังภายในมีสิ่งน่าหวาดเสียวลึกลับ บางรายการสามารถเห็นเป็นในภาพด้านล่าง ชายชื่อโทมัสทีโอดอร์ Merrylin เกิดในอังกฤษ อุทิศชีวิตของเขาเพื่อการเก็บรวบรวมและการศึกษาของแปลกและมหัศจรรย์ ( แต่ส่วนใหญ่แปลก) ตัวอย่างเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเป็นของจริง? หรือเป็นของปลอม?

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london3

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london42

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london-46

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london8

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london41

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london6

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london27

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london-45

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london19

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london-47

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london13

skulls-skeletons-thomas-theodore-merlin-home-london18




ภาพเก่าดาราดัง....ใครรู้จักบ้าง

โครตโหด!! เพราะชาวเกาะพร้อมฆ่าทุกคนที่เข้ามา เกาะที่อันตรายที่สุดในโลก “นอร์ธ เซนติเนล” เกาะนี้ไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น!!

เกาะแห่งนี้ปกคลุมด้วยป่าโกงกาง หาดทรายสีขาว แถมน้ำทะเลยังใสอีกต่างหาก หาดทรายขาวสะอาด ดูแล้วนี่มันเป้นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวชัดๆ แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าที่ “เกาะนอร์ธ เซนติเนล” แห่งนี้จะมีชนเผ่าอาศัยอยู่ และพวกเขาพร้อมที่จะฆ่าทุกชีวิตที่เหยียบย่างเข้าไปบนเกาะแห่งนี้




ที่ตั้งนั้น อยู่ห่างไกลในอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย เกาะนอร์ธ เซนติเนล แห่งนี้คือสถานที่แห่งหนุ่งที่จัดว่าอยู่ห่างไกลจากผู้คนมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่มาก ที่นี่มีชนเผ่าอาศัยอยู่ พวกเขาถูกเรียกว่า เซนติเนนลลีส ไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น ไม่สนใจเทคโนโลยี ไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนเข้ามาที่เกาะแห่งนี้

นี่มันเครื่องมือสารพัดประโยชน์สำหรับช่างจริงๆ












หาดูยาก!!! ภาพดาราย้อนยุค

น่าลองทำให้เด็กเล่น!!!





อ่านแล้วน้ำตาไหล!!! เพราะความรักลูก ขอให้ลูกกินอาหารดีๆสักครั้ง

เรื่องราวความประทับใจ เมื่อม่ายตาบอดเร่ขายลอตเตอรี่ อยากให้ลูกได้กินดี ๆ สักมื้อ จึงพาไปร้านปิ้งย่างญี่ปุ่น ตามที่ลูกเห็นทางทีวี เจ้าของร้านลดราคาให้ กลับปฏิเสธบอก “อย่าลดให้เพียงเพราะเป็นคนพิการ”
ความเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่ มีให้ลูกไม่สิ้นสุดเสมอ เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่องราวของหญิงม่ายพิการตาบอด ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการขายลอตเตอรี่ เธอเองก็ฝันอยากจะให้ลูกได้กินอิ่มอยู่ดีเหมือนเด็กคนอื่น ๆ แม่คนนี้จึงพาลูกไปกินปิ้งย่าง แม้ว่าราคาจะหลักพัน และพนักงานก็พร้อมที่จะลดราคาให้ แต่เธอเองก็ไม่ขอรับน้ำใจ เพียงเพราะไม่อยากให้คนสงสารเพราะเธอคือคนพิการ

ไม่รู้ไม่ได้แล้ว!! 20 เรื่องวัดพระแก้ว



1. วัดพระแก้ว มีชื่อเรียกทางการว่าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
2. วัดพระแก้วเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมมหาราชวัง ตั้งอยู่มุมพระบรมมหาราชวังด้านตะวันออก ในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศิลปากร ถนนหน้าพระลาน ข้างสนามหลวง กรุงเทพมหานคร


3. วัดพระแก้ว ในภาษาอังกฤษเรียกว่า The Temple of the Emerald Buddha และพระบรมมหาราชวังเรียกว่า The Grand Palace


สมัยหนึ่ง กทม น้ำท่วมใหญ่

น่ากลัว!!! ฮาราคีรี

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่อเมริกาได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ 2 ลูก ลงบนฮิโรชิม่าและนางาซากิ ส่งผลให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ 2 กันยายน 1945 แต่ถึงอย่างนั้น มีทหารญี่ปุ่นจำนวนมากกลับไม่ยอมจำนนและไม่ยอมกลายเป็นเชลยศึก พวกเขาตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตายด้วยพิธีกรรมที่เรียกว่า เซปปุกุ หรือที่คนไทยคุ้นเคยกับคำว่า ฮาราคีรีนั่นเอง



หาดูยากม๊าก!! "อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" เมื่อ 70 ปีก่อน



เมื่อนึกภาพความวุ่นวายทั้งรถติด ผู้คนเดินกันขวักไขว่ "อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" นั้นเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คของ "กรุงเทพมหานคร" อันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ที่มีความชุลมุนวุ่นวาย เพราะเหมือนจุดศูนย์กลางที่ผู้คนจะมาต่อรถเพื่อไปสู่ที่ต่างๆ แต่หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 70 ปีก่อน ภาพอนุสาวรีย์ชัยฯ ในนั้นวันนั้น ช่างแตกต่างกับวันนี้เสียเหลือเกิน และวันนี้เราได้รวบรวมภาพความคลาสสิคในวันวานมาฝากกันด้วย มองๆไปก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าสมัยนั้นจะมีทุ่งนาอยู่รอบๆด้วย แล้วเปรียบกับทุกวันนี้สิ มีแต่ตึกสูงและความเจริญ ...ยุคสมัยเปลี่ยนไปมากแล้วจริงๆ  
.....ดูรูปเพิ่มเติม

จดหมายจากพ่อ...ถึงลูก



เป็นหนึ่งในเรื่องราวน่าสะเทือนใจที่มีชาวเน็ตให้ความสนใจและร่วมแชร์กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 สำหรับกระทู้ “จดหมายจากบ้านพักคนชรา ส่งมาผิดบ้าน อ่านแล้วน่าเห็นใจ” โดยคุณ อัศวินม้าหมากรุก สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ซึ่งเล่าเหตุการณ์ว่า มีจดหมายส่งมาผิดที่บ้านของพี่สาวซึ่งซื้อทิ้งไว้ไม่มีใครอยู่ จดหมายดังกล่าวปลิวอยู่ที่สนามหญ้า เนื่องจากที่อยู่ถูกบ้าน แต่ชื่อไม่ถูก คุณอัศวินม้าหมากรุก จึงได้เปิดอ่านดู เป็นข้อความจากพ่อซึ่งเป็นผู้สูงอายุได้ส่งมาหาลูก โดยมีข้อความดังนี้    ....อ่านต่อ

เรื่องเล่าสุดสะเทือนใจ ของชายชราบนรถไฟฟ้า BTS

วันนี้ (24 ก.พ.) เป็นประเด็นที่ผู้คนบนโลกออนไลน์กำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ หลังจากสมาชิกเฟซบุ๊ก Eye Naphat ได้โพสต์ภาพชายชรานั่งอยู่ข้างหญิงคนหนึ่งบนรถไฟฟ้า BTS ซึ่งทางเจ้าของเรื่องระบุว่า หญิงที่อยู่ในภาพทำท่าทางรังเกียจชายที่นั่งข้าง  ๆ เพราะเขาไอ หลังเรื่องดังกล่าวถุกเผยแพร่ ขณะนี้มียอดแชร์กว่า 1 พัน ยอดไลค์สูงถึงหลักหมื่น หลังโพสต์ไปเพียง 5 ชม.
12122722_1054135004629786_1369513322196806480_n

ข้อความที่ผู้โพสต์ระบุมีดังนี้    ......อ่านต่อ

ภาพเก่าหายาก 1


พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เข้าใจว่าถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 ภาพจากหนังสือ Buddistsche Tempelangan in Siam ของ คาร์ล ดอห์ริง พิมพ์เมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2463 หอสมุดแห่งชาติ

พระสมุทรเจดีย์หรือพระเจดีย์กลางน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5
สมัยนั้นที่ตั้งของพระเจดีย์ยังเป็นเกาะจริง ๆ ภายหลังพื้นดินรอบเกาะตื้นเขิน ตัวเกาะจึงเชื่อมติดกับฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาดังเห็นอยู่ในปัจจุบัน ภาพจากหนังสือ Buddistsche Tempelangan in Siam ของ คาร์ล ดอห์ริง พิมพ์เมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2463 หอสมุดแห่งชาติ

ฉาย ณ เกย พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท พระบรมมหาราชวังในการพระราชพิธีโสกันต์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยามประเทศ เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2433

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยืนหันพระปฤษฎางค์ให้กล้องในการพระราชพิธีโสกันต์ ณ เขาไกรลาส ในสวนขวา พระบรมมหาราชวัง มีน้ำตกบ่อน้ำ และสัตว์ส่วนหนึ่ง ที่มีคติความเชื่อว่าอยู่บนเขาไกรลาส ในป่าหิมพานต์ คือ ม้าราชสีห์ ช้าง และ โค สัตว์เหล่านี้หล่อด้วยโลหะและมีน้ำพุ่งออกจากปาก เพื่อสรงน้ำพระราชโอรส พระราชธิดาที่ทรงรับพระราชทานโสกันต์ เมื่อปี พ.ศ. 2433


ภาพนี้เก่ามากแล้ว ตัวหนังสือเลขปีเลยจางๆไปบ้าง
หระโอรสที่ยืนประทับข้างร.5 ทางขวาของภาพเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (ร.6 ในวัยหนุ่ม)










พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้อาจารย์ นิสิตปัจจุบันและนิสิตเก่าเข้าเฝ้า และพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานใน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๙


บรรยากาศ "ทรงดนตรี" ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙

 
Copyright © 2013. Movies Review
Distributed By My Blogger Themes | Created By ThemeXpose